SEO (Search Engine Optimization) เป็นรูปแบบการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของระบบการค้นหา (Search Engine) แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าคุณสามารถที่จะเพิ่มประสิทธิภาพหน้าแรกของเว็บไซต์ (Landing page) เพื่อการค้นหาที่ดีขึ้นได้อีกด้วย เหตุผลที่หลายคนอยากเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ตัวเองก็เพื่อที่จะเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์แบบ Organic เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ถูกที่สุดที่จะโปรโมทให้กับลูกค้าของคุณเห็นแลเมื่อ “หน้าแรก” สามารถตอบโจทย์ผู้อ่านได้ ผู้ชมที่เข้ามายังเว็บไซต์์จะกลายเป็นผู้ติดตามเว็บไซต์ต่อไป
ในบทความนี้เรา SEOblackcat จะมาบอกถึงแนวทางที่ดีที่สุดในการทำ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ เราจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับหน้าเว็บไซต์ของคุณเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
Table of contents
5 ขั้นตอนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO
1. Keyword : คำที่นิยมค้นหาในเว็บไซต์
ในขั้นตอนแรกของการทำ SEO คือ หาคีย์เวิร์ดสำหรับเว็บไซต์ โดยวิเคราะห์และทำความเข้าใจผู้ใจผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของผู้ใช้งาน ปริมาณการเข้าชม รวมไปถึงการแข่งขันที่เป็นไปได้ซึ่งวิธีการในการสร้าง Keyword ที่ดีและตอบโจทย์ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- การสร้างคลัง Keyword อ้างอิงจากสิ่งที่คนจะค้นหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ แต่หากคำเหล่านั้นเป็นคำที่คนไม่ค้นหากันก็ต้องลองนึกว่าปกติคนทั่วไปค้นหาอะไรกัร หรืออาจจะเช็คใน Google เพื่อหาคำแนะนและคำที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ของคุณ
- ถ้าหากเว็บไซต์มีหลายหน้า ให้ลองทำการจัดกลุ่ม Keyword ด้วยหมวดหมู่เว็บไซต์เพื่อช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น
- เมื่อเรามีลิสต์ Keyword แล้ว คุณลองมาวิเคราะห์ดูว่าคู่แข่งของเว็บไซต์คุณเลือกใช้คีย์เวิร์ดแบบไหนจึงติดอันดับ เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของหน้าหลักของเว็บและที่สำคัญมากคือการรีเช็คว่าคำในหน้าแรกตรงใจของผู้ที่จะค้นหาหรือไม่
ใบบางครั้งตลาดคู่แข่งอาจจะใช้คำค้นหาอันดับต้นๆ ไปหมดแล้ว ทำให้ยากต่องการแข่งขัน แต่เราอาจจะเปลี่ยนไปเป็น Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจงให้มาก และแข่งขันต่ำ ซึ่งอาจจะเจอได้ยากแต่ก็จะได้ยาอดที่เกิดจากลูกค้าได้ดีขึ้น
2. การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้ถูกหลัก SEO
การรวม Keyword มาไว้ในหน้าแรกของเว็บไซต์ ซึ่งคือการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน้าแรกของเว็บไซจ์ และ Keyword หลัก จะต้องปรากฎอยู่ใน Heading (หัวข้อหลัก), Body text (เนื้อหา), Anchor link (ลิงก์เชื่อมโยงกับเนื้อหาอื่น), Image alt text (ข้อความที่ใส่ไว้ในไฟล์ภาพ), Metadata (หัวข้อเว็บไซต์, คำบรรยาย และ ลิงก์ URL, Social Proof หรือข้อสนับสนุนถึงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ นอกจากนั้น หน้าเว็บไซต์ที่ดีจะต้องประกอบไปด้วยเนื้หาที่สดใหญ่ทันต่อเหตุการณ์ และให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ต้องการจะสื่อ ส่วนความถี่ในการลงเนื้อหาก็จะขึ้นกับ topic รวมถึงเนื้อหานั้นๆ ว่าควรจะมีการอัพเดตบ่อยแค่ไหน
3. การสร้าง Link
การสร้าง Backlinks (ลิงก์ย้อนกลับไปที่เนื้อหาเว็บของคุณ) เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับในระบบการค้นหาดียิ่งขึ้น ซึ่ง Backlinks เป็นเหมือนการโหวตให้กับเว็บไซต์
ยิ่งเว็บมีคุณภาพสูงและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาก็จะเชื่อมไปยังหน้าเว็บได้ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย เช่น การแบ่งปันเนื้อหาแพล็ตฟอร์มสนทนาในเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย หรือโพสบล็อกการสนทนาที่จะช่วยเพิ่มมูลค่า, ตรวจสอบดูว่าคู่แข่งมีการใช้ Backlinks กลับไปที่ใด เป็นต้น
4. ความเร็วของเว็บไซต์ และเหมาะกับการใช้งานในหน้า Mobile
ความเร็วในการเข้าชมเว็บไซต์ ยิ่งเร็วยิ่งดี ใช้เวลาในการโหลดน้อยก็ยิ่งดี เพราะทุกๆ วินาทีที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลต่อ Bounce rate (สัดส่วนการมาชมเว็บเพียงแค่หน้าเดียวแล้วปิด) และประสบการณ์ของผู้ที่เข้ามาชมเว็บโดยรวม ปัญหาที่อาจจะทำให้หน้าเว็บโหลดช้า ได้แก่ ขนาดรูปที่มีขนาดไฟล์ใหญ่เกินไป มีการปรับสัดส่วนที่ไม่พอดี การ Coding ที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือการใช้ Plugin จำนวนเยอะเกินไปทำให้กินทรัพยากร
ในส่วนของการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ให้เหมาะกับการใช้งานบนโทรศัพทืมือถือจะต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าหน้าเว็บตอบสนองต่อการแสดงผลทุกขนาดทุกอุปกรณ์ (Responsive) หรือไม่ อีกทั้งยังต้องคำนึกถึงการใช้งาน ว่าผู้ใช่งานใช้งานได้สะดวกหรือไม่ ทั้งการอ่านข้อความ CTAs (call-to-actions), การคลิก Link เป็นต้น
5. การวิเคราะห์และการปรับตัว
ขั้นตอนสุดท้ายที่จะช่วยเพิ่มประสิทธภาพเว็บไซต์ของคุณกับ SEO คือ การติดตามผลลัพธ์ ถ้าไม่มีการวัดประสิทธิภาพ ก็จะไม่มีทางรู้ได้ว่าปรับอะไรยังไงให้เหมาะสม สิ่งสำคัญคือการติดตามการเข้าชมเว็บแบบ Organic รวมไปถึงอัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งสามารถติดตามได้ด้วยเครื่องมือต่างๆ อย่างเช่่น Google Analytics, Google Search Console เป็นต้น