สถิติเมื่อปลายปี 2020 จาก Facebook มีธุรกิจกว่า 200 ล้านรายทั่วโลกมีหน้าร้านบน Facebook ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า Facebook นับเป็นหนึ่งในช่องทางในการขายสินค้าของใครหลาย ๆ คน
เมื่อในแพลตฟอร์ม Facebook นั้นเต็มไปด้วยผู้ขายหลักล้านราย ความท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือการแข่งขันระหว่างธุรกิจ เพื่อให้ได้ลูกค้า ยอดขาย และแบรนด์โดดเด่นเป็นที่รู้จักท่ามกลางคู่แข่งนับล้านนั้น และนั่นจึงทำให้ Facebook Ads กลายเป็นเครื่องมือการตลาดชิ้นสำคัญที่คนขายออนไลน์เลือกใช้เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้เร็วกว่าคู่แข่ง หรือเปิดโอกาสให้เกิดการซื้อ-ขายได้ตามเป้าหมาย
สำหรับคนขายออนไลน์ที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ Facebook Ads เมื่อทำการตลาดไปได้สักระยะหนึ่งจะเริ่มประสบปัญหาการยิงโฆษณาแล้วไม่ได้ผล ซึ่งหากคุณมีช่องทางขายหลักเป็น Facebook ก็อาจกระทบต่อรายได้ส่วนใหญ่ของธุรกิจได้เลย
วันนี้เราชวนมาเปิดเช็กลิสต์การยิง Facebook Ads กันอีกครั้ง สำหรับคนที่เริ่มพบปัญหาการยิงโฆษณา Facebook ได้ไม่ตรงตามเป้าหมาย หรือยิงโฆษณาแล้วไม่ได้ยอดขายกลับมา โดยคนขายออนไลน์สามารถนำไปปรับใช้กับการยิงโฆษณาในแบบของตัวเอง ให้คุณสามารถเพิ่มยอดขายจากการยิงโฆษณาได้จริง และบริหารงบการตลาดได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าเดิม
Table of contents
1. มีเป้าหมายการทำโฆษณาชัดเจน
เช็กลิสต์การยิง Facebook Ads ข้อแรกที่ขาดไปไม่ได้ คือการตั้งเป้าหมายของแคมเปญที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถออกแบบโฆษณาให้ตรงวัตถุประสงค์ (Campaign Objective) โดยวัตถุประสงค์ในการยิงโฆษณาของ Facebook Ads นั้นมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย สามารถแบ่งได้ตามวัตถุประสงค์ยอดฮิต ตามประเภทของธุรกิจและแพลตฟอร์มการขายของร้าน เช่น
- Brand Awareness: เพื่อให้คนเข้ามาติดตามเพจ หรือรู้จักแบรนด์มากขึ้น
- Reach: เพื่อให้มีคนอ่าน หรือเห็นโพสต์จากเพจ
- Engagement: เพื่อให้คนที่อ่าน มีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์นั้น เช่น Like, Share, Comment, Post Click
- Video Views: เพื่อให้คนที่เห็นโฆษณาสนใจ และกดดูวิดิโอ
- App Install: เพื่อให้คนที่เห็นโฆษณากดติดตั้งแอป ในกรณีที่สินค้าเป็น Software Product
- Traffic: เพื่อให้คนที่เห็นโฆษณากดเข้าไปดูเว็บไซต์ หรืออ่านบทความม
- Message
- Conversion: เพื่อให้คนที่เห็นโฆษณาคลิกซื้อสินค้า กรอกฟอร์มสมัคร ทักข้อความหาร้านค้า รวมถึงโทรหาร้านค้าตามเบอร์โทรที่ให้ไว้
- Catalog Sales: เพื่อให้คนคลิกเข้าไปดูแคตตาล็อกสินค้าและซื้อสินค้า
- Store Traffic: ค้นหาสาขาใกล้ตัวแล้วไปซื้อสินค้าที่ร้าน
โดยหากร้านค้าที่เน้นการขายบนช่องทาง Facebook มักจะมีส่วนหนึ่งของโฆษณาที่มีวัตถุประสงค์ไว้เพื่อสร้างยอดขาย ได้แก่ Conversion, Store Visit และ Catalog Sales แต่ในขณะเดียวกันคนขายออนไลน์บางคนเลือกแบ่งสัดส่วนการจะยิงโฆษณาหลาย ๆ จุดประสงค์ร่วมด้วย
เช่น ยิงโฆษณาเพื่อสร้าง Awareness และ Engagement ออกไปก่อน จากนั้นจึงนำกลุ่มเป้าหมายที่ได้กลับมายิงโฆษณาอีกชิ้นเพื่อสร้าง Conversion หรือจุดประสงค์คือการสร้างยอดขายอีกครั้ง (Retarget)
ดังนั้น หากโฆษณา Facebook ของคุณเริ่มไม่ได้ผล คนขายออนไลน์อาจจะต้องย้อนกลับมารีวิวแคมเปญ Facebook Ads ของคุณอีกครั้ง ว่าทางร้านได้มีการตั้งเป้าหมายของแคมเปญแต่ละแคมเปญเอาไว้อย่างไร และมีการแบ่งสัดส่วนโฆษณาแต่ละประเภทเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง?
2. จัดกลุ่มเป้าหมายให้เคลียร์
แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญของการยิง Facebook Ads ก็คือเข้าหากับ “กลุ่มเป้าหมาย” ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นอีกหนึ่งเช็กลิสต์สำหรับการยิงโฆษณา Facebook ที่จะช่วยให้คนขายออนไลน์สามารถเพิ่มยอดขายได้จริง ยิงโฆษณาแล้วเห็นผลถึงยอดขายจริง ก็คงหนีไม่พ้นการทำความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจของคุณ
โดยทั่วไปแล้ว Facebook จะเปิดให้คนทำโฆษณาสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกจากอายุ เพศ ภาษา พื้นที่อยู่อาศัย ตำแหน่งงาน ความสนใจต่าง ๆ รวมถึงสามารถตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายการยิงโฆษณาอย่างละเอียดยิ่งขึ้น ดังนี้
- Saved Audiences ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายตามเพศ อายุ สถานที่ ความสนใจ พฤติกรรมโดยสามารถเลือกยกเว้นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ และกดบันทึกกลุ่มเป้าหมายสำหรับใช้ยิงโฆษณาครั้งต่อไปได้
- Custom Audiences ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายเคยคลิกดูโฆษณา เคยเข้าเว็บไซต์ เคยเข้าแอปมาก่อน รวมถึงเป็นกลุ่มที่มีข้อมูลอยู่ในช่องทางอื่น ๆ ของร้านค้า
- Lookalike Audiences ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจกับโฆษณา หรือมีความสนใจใกล้เคียงกับ Custom Audiences ของเพจในทางใดทางหนึ่ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการหาลูกค้าใหม่ ๆ
เบื้องต้น ในกรณีที่คนขายออนไลน์เริ่มรู้สึกว่าโฆษณาที่ยิงไปเริ่มไม่ได้ผล ควรลองกลับไปเช็กกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าของคุณอีกครั้งด้วยเครื่องมือฟรีจาก Facebook อย่าง Facebook Audience Insights เพื่ออัปเดตกันใหม่ว่าลูกค้าของคุณนั้นเป็นใครกันแน่ รวมถึงค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของคุณด้วย
หรืออีกเทคนิคที่ช่วยคุณจัดกลุ่มเป้าหมายในการยิง Facebook Ads ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นที่นิยมในการทำการตลาดก็คือ “การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย” ตามหลัก Marketing Funnel หรือกรวยทางการตลาด ได้แก่
- คนที่ยังไม่รู้จักแบรนด์มาก่อน (Cold Traffic) ตั้งค่า Saved Audiences กับ Lookalike Audiences เพื่อเลือกกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะให้ความสนใจกับโฆษณา เพื่อให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จัก
- คนที่เคยรู้จักแบรนด์แล้ว ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ (Warm Traffic) ตั้งค่า Custom Audiences โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าเว็บไซต์ หรือเคยเห็นโพสต์ของแบรนด์แล้ว เพื่อ Retarget ให้รู้จักแบรนด์มากขึ้น เพื่อนำไปสู่การซื้อสินค้า
- คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ของแบรนด์ (Hot Traffic) ตั้งค่า Custom Audiences เลือกคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ของแบรนด์ โดยใช้เนื้อหาโฆษณาที่ออกแบบให้เกิด Conversion เนื่องจากคนที่เข้าไปหาข้อมูลในเว็บไซต์แบรนด์แล้วมีแนวโน้มว่าจะรู้จักแบรนด์ดีประมาณนึงแล้ว
- คนที่เคยเป็นลูกค้าแล้วและมีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ (Existing Customers) ตั้งค่า Custom Audience จากรายชื่อลูกค้าหรือ Customer List ที่ได้จากแพลตฟอร์มการขายอื่น ๆ เช่น อีเมล เบอร์โทร แล้วนำมายิงโฆษณาที่มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าปัจจุบัน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ และเน้นย้ำให้เกิดการซื้อซ้ำ
โดยเมื่อสามารถแบ่งลูกค้า หรือว่าที่ลูกค้าออกตามสถานะเหล่านี้ได้แล้ว เนื้อหา โฆษณา หรือวัตถุประสงค์ของการทำโฆษณา Facebook สำหรับเป้าหมายแต่ละกลุ่มก็จะต่างกันออกไปด้วย ทำให้ผลิตชิ้นงานโฆษณาออกมาสื่อสารได้อย่างตรงเป้า เข้าประเด็นมากขึ้นนั่นเอง
3. สร้างสรรค์โฆษณาที่จับลูกค้าอยู่หมัด
ไม่มีหลักการตายตัวนักสำหรับการทำโฆษณาสักชิ้น แต่สิ่งสำคัญหากคนขายออนไลน์อยากสร้างโฆษณา Facebook ที่มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความเข้าใจในลูกค้าของคุณในการสร้างชิ้นงานโฆษณาที่ตรงใจ พุ่งเป้าตรงไปที่ปัญหา (Pain point) เพื่อให้สามารถเกิดการซื้อ หรือ Action ต่าง ๆ ต่อจากการดูหรือชมโฆษณาได้ทันที
ดังนั้น เช็กลิสต์การสร้างโฆษณาแต่ละชิ้นที่คนขายออนไลน์ต่างต้องคำนึงถึงในการยิง Facebook Ads แต่ละครั้ง คงหนีไม้พ้นการทบทวนองค์ประกอบต่าง ๆ ในชิ้นงานโฆษณาที่ควรออกแบบให้เคลียร์มากพอ และดึงดูดความสนใจมากจากกลุ่มเป้าหมายที่กำลังเลื่อนฟีดให้หยุดเพื่อดูโฆษณาสินค้าของคุณได้ เช่น
- ร้านค้าขายสินค้าอะไร
- สินค้านี้ช่วยแก้ Pain point ของกลุ่มเป้าหมายอย่างไร
- ข้อมูลต่าง ๆ ที่มีผลต่อการซื้ออย่างชัดเจน เช่น ราคา ส่วนลด สิทธิประโยชน์
- ข้อมูลที่เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสินค้า เช่น ผลลัพธ์การใช้งานจริง รีวิวจากลูกค้า
- ระบุสิ่งที่ต้องการให้ลูกค้าทำอย่างชัดเจน (Call to action) เช่น ซื้อสินค้า ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ กดติดตั้งแอป เป็นต้น
4. วัดผลและติดตามผลลัพธ์สม่ำเสมอ
สิ่งสำคัญของการทำโฆษณาก็คือการวัดผลและติดตามผลเป็นประจำ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าโฆษณาประเภทแบบไหน ได้ผลดีต่อกลุ่มเป้าหมายแบบไหน หรือหากโฆษณาได้ผลไม่ดีเท่าที่ควรก็จำเป็นต้องปิดโฆษณาตัวนั้นไป เพื่อไม่ให้งบประมาณในการยิงโฆษณานั้นเสียเปล่า
โดยเมื่อมีเรื่องงบประมาณหรือ Budget เข้ามาเกี่ยวข้อง การวัดผล Facebook Ads จึงมักมีการคิดจากค่าต่าง ๆ ที่เปรียบเทียบกับระหว่างผลลัพธ์ที่ได้ให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เสียไป (Cost Per Result) ซึ่งหากค่าตัวเลขเหล่านี้ไม่ตรงเป้าหมาย ก็จะมีผลต่อการวางแผนการตลาดหรือการยิงโฆษณาในอนาคต
เราขอยกตัวอย่างเครื่องมือวัดผลยอดฮิตในการทำ Facebook Ads ที่นักการตลาดและคนขายออนไลน์ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น
- CPM (Cost per Impression) สำหรับประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการยิงโฆษณาทุกประเภท โดยวัดจากการที่โฆษณายิงออกไปปรากฏบนหน้าฟีดของกลุ่มเป้าหมาย
- CTR (Click Through Rate) วัดความน่าสนใจของพาดหัว รวมถึงตัวโฆษณา โดยคิดจากจำนวนคนเห็นโฆษณากับจำนวนคนคลิกโฆษณา
- CPC (Cost per Click) วัดคุณภาพของโฆษณา โดยเมื่อโฆษณามีความน่าสนใจ มีคนคลิกจำนวนมาก ค่า CPC ก็จะต่ำลง
- Relevance Score คะแนนความน่าสนใจที่ Facebook ประเมินให้โฆษณาชิ้นนั้น ๆ เมื่อเทียบกับโฆษณาของแบรนด์คู่แข่ง ซึ่งอาจมาจากยอดการคลิกโดยรวม ไปจนถึงหักลบกับการที่มีคนเห็นโฆษณาแล้วกดซ่อนโฆษณาด้วย
อย่างที่บอกไปว่าในการยิง Facebook Ads ให้ได้ผลดีมากที่สุดนั้นไม่ได้มีหลักการตายตัว แต่ต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจต่อกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ รวมทั้งการมีเครื่องมือสำหรับการวัดผล เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการทำโฆษณาได้อย่างรอบด้าน และนำมาปรับปรุงกับโฆษณาชิ้นต่อ ๆ ไปให้พุ่งเข้าเป้าหมายทางการตลาดของธุรกิจให้ได้มากกว่าเดิม
deeple ช่วยคุณวัดผลโฆษณา Facebook ได้ถึงยอดขาย
อีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้คนขายของบน Facebook สามารถวัดผลโฆษณา Facebook ได้ดียิ่งขึ้นจนถึงยอดขาย ได้แก่ ฟีเจอร์ Comment to Chat บน deeple AI Chatbot ระบบตอบกลับและดึงลูกค้าเข้าหน้าแชททันทีเมื่อลูกค้าคอมเมนต์แสดงความสนใจในสินค้า
โดยฟีเจอร์นี้ช่วยคนขายออนไลน์ให้สามารถยิงโฆษณา Facebook ให้ได้ทั้ง Engagement จากการที่มีผู้ที่สนใจเข้ามาคอมเมนต์ และได้ยอดขายจากการที่ AI Chatbot เข้าไปตอบและปิดการขายได้ทันที นอกจากนี้คนขายออนไลน์ยังสามารถวัดผลโฆษณาได้ลึกขึ้น ด้วยระบบรายงานยอดขายเรียลไทม์จากโพสต์โฆษณาใน Facebook เป็นข้อมูลสำหรับการนำไปยิง Facebook Ads ให้เข้าเป้ากว่าที่เคย