Table of contents
SEO คืออะไร?
ใครหลายๆ คนอจะถอดใจกับการทำ SEO และหันไปใช้วิธีการซื้อโฆษณาแทน ซึ่งเราคิดว่าสาเหตุหลักที่คนถอดใจกับการทำ SEO ไปซื้อโฆษณาแทนอาจเป็นเพราะว่าการซื้อโฆษณานั้นสามารถทำได้ง่าย เห็นผลชัดเจนและรวดเร็วกว่า ส่วนการทำ SEO ให้ดีนั้นต้องใช้ความคิดงสร้างสรรค์ และความรู้ทางด้านเทคนิคค่อนข้างสูง อีกทั้งยังต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าผลลัพธ์จะออกมาได้ตามความต้องการ
ถ้าคุณเป็นบริษัทก่อนตั้งใหม่ๆ ที่ยังไม่มีทุนมากพอและสภาพคล่องก็ยังไม่ได้สูงนัก การซื้อโฆษณาเป็นสิ่งที่คุณควรจะให้ความสำคัญมากกว่าการทำ SEO เพราะผลลัพธ์ในระยะสั้นคือสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้บริษัทไปต่อได้ แต่ถ้าบริษัทของคุณกำลังขยายและมีงบประมาณที่ใช้ในการทำการตลาดแล้ว หรือบริษัทของคุณเป็นบริษัทขนาดกลางหรือใหญ่ การทำ SEO จะเป็นวิธีที่ทำให้ธุรกิจของคุณไปได้เร็ว ไปได้ดี และยั่งยืนกว่าในระยะยาว
หากคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะเห้นภาพและเจ้าใจ SEO มากขึ้น ถึงแม่ว่าการทำ SEO เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เรา SEOblackcat การซื้อโฆษณาก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่สำหรับธุรกิจทุกๆ ขนาด
สิ่งที่ส่งผลต่อการจัดอันดับของ SEO
SEO (Search Engine Optimization) เป็นสิ่งที่คนที่เข้าไปหาข้อมูล Search Engine นั้นค้นหาข้อมูลแล้วทำการคลิ๊กเข้าไปดูเว็บไซต์ของคุณ และปัจจัยที่ใช้ในการจัดอันดับของการทำ SEO นั้นมีกว่า 200 ปัจจัย ซึ่งหากคุณไม่ได้อยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำ SEO หรืออยากจะลงมือทำด้วยตัวเอง ข้อมูลเหล่านั้นอาจจะลึกไปสำครับคุณ ฉะนั้นเรา SEOblackcat ขออนุญาตสรุปเป็น 2 หัวข้อใหญ่ๆ ไว้ให้คุณดังนี้
1. On-page
On-page เป็นอะไรก็ตามท่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ของคุณ เช่น การทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ โครงสร้างเว็บไซต์ การรองรับการแสดงผลบนมือถือ การมีคอนเทนต์คุณภาพในจำนวนที่เหมาะสม การตั้งชื่อเว็บไซต์ในแต่ละหน้า และการใส่คำอธิบายในแต่ละหน้าอย่างเหมาะสม เป็นต้น
ตัวชี้วัดทางด้าน SEO มี 2 ตัว คือ Domain Authority (DA) หรือค่าความมีอิทธิพลของโดเมน และ Page Authority (PA) หรือค่าความมีอิทธิพลของเพจหน้านั้นๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว เพจ Facebook ของคุณจะมีค่า DA อยู่ที่ 100 (ได้คะแนนเต็มเพราะ facebook.com มีอิทธิพลมากสุดๆ) แต่ PA ของคุณนั้นจะมีค่าแค่ 1 เท่านั้นไม่ว่าเพจคุณจะมีคนติดตามหลักสิบหรือหลักล้าน หรือไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ตาม (เพราะ Search Engine จะมองเพจของคุณเป็นแค่เสี้ยวนึงของ Facebook เท่านั้น) แต่สำหรับเว็บไซต์ ถึงแม้ว่าค่า DA จะน้อยกว่าค่าของ Facebook มากๆ แต่ค่า PA ในเว็บไซต์แต่ละหน้านั้นเมื่อเวลาผ่านไป จะมีค่ามากกว่า 1 อย่างแน่นอน
2. Off-page
Off-page หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเว็บไซต์ ซึงการทำ SEO จะหมายถึงการที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณได้มาซึ่ง Backlink (ลิงค์จากเว็บอื่น) ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เว็บไซต์ของคุณทำอยู่ โดยปกติแล้ว Backlink จะมีอยู่ 2 แบบคือ DoFollow และ NoFollow
- Backlink แบบ DoFollow จะส่งผลตอบแทนจาก SEO (SEO Juice) มายังเว็บไซต์ของคุณด้วย
- Backlink แบบ NoFollow จะไม่ส่งผลตอบแทนจาก SEO มาให้เว็บไซต์เรา
โดยปกติแล้ววิธีการได้มาซึ่ง Backlink มีหลายวิธี เช่น การขอให้ Influencer พูดถึงคุณ (Influencer Outreach) หรือการไปเขียนบทความในเว็บไซต์อื่น (Guest Blogging) เป็นต้น และ Link จากโซเชียลมีเดียต่างๆ ถึงแม้ว่าจะเป็น NoFollow แต่ถ้าคุณได้ Backlink มาเป็นจำนวนมากๆ มันก็จะส่งผลดีต่อการทำ Off-page SEO เหมือนกัน
ใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะเห็นผลจากการทำ SEO?
การที่จะบอกว่าการทำ SEO นั้ใช้เวลานานแค่ไหน ถ้าจะให้เราตอบก็คงต้องตอบว่า “ต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป” ขึ้นอยู่กับความคาดหวัง, มีการแข่งขันกันมากน้อยเพียงไหน, สถานการณ์ปัจจุบันของคุณเป็นอย่างไร (เช่น เว็บไซต์มีโครงสร้างดีไหม, เคยสร้างคอนเทนต์ดีๆ บ้างไหม หรือเคยโดน Search Engine ลงโทษบ้างไหม เป็นต้น) และความรู้ และงบประมาณที่จะทำ SEO แต่ถ้าหากคุณอยากที่จะทราบระยะเวลากว้างๆ หรือเวลาขั้นต่ำในการทำ SEO เราคิดว่าระยะเวลาในการทำ SEO ให้เห็นผลลัพทธ์ในเชิงธุรกิจจะอยู่ในช่วง 4-12 เดือน
หากเว็บไซต์เป็นเว็บไซต์ที่อยู่มานานพอสมควรแล้ว การทำ SEO อาจจะเห็นผลเร็วกว่า (จากการเข้าไปปรับ On-page SEO ของเว็บไซต์) หรืออาจจะเห็นผลช้ากว่านี้ (ถ้าเว็บของคุณเคยทำ SEO สายดำ และถูก Search Engine ลงโทษ)
สรุป
ในการทำ SEO ในระยะเวลาสั้นอาจจะเห็นผลไม่ชัดเขน แต่ถ้าทำให้ถูกต้องในระยะยาวแล้ว การทำ SEO จะเปรียบเสมือนกับการที่คุณได้พื้นที่ทำเลทองที่คนเดินผ่านเป็นประจำ แถมคนที่เดินผ่านนั้นยังมีแแต่คนที่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณ เราแนะนำว่าถ้าหากคุณอยากทำ SEO หรือจ้างคนมาทำ SEO ให้กับธุรกิจของคุณ คุณควรที่จะปรึกษา หรือทำความเข้าใจ เพื่อที่คุณจะได้ตั้งความคาดหวังได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับระยะเวลาในการทำ